29 C
Bangkok
วันอังคาร, กันยายน 10, 2024
spot_img

(รีวิว)Royal Enfield [Interceptor650] Twin Ride Trip มันส์ๆ ฟินๆ กรุงเทพฯ-นครนายก!!

Review Royal​ Enfield​ Interceptor​ 650​ Twin
จากการใช้จริงในการออกทริป​ ที่วิ่งทั้งในเมือง​และทางไกล​ แบบฉบับความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆในฐานะคนชอบขี่มอเตอร์ไซค์​ (เยอะทั้งน้ำทั้งเนื้อ อิ่มๆกันไปเลย)​

รวมพลคน Royal Enfield

ครั้งนี้เป็นครั้งเเรกที่เราได้มีโอกาสนำบิ๊กไบค์สายคลาสสิกสายหล่อ(แต่แอบเร้าใจ) ออกมาถ่ายทอดความรู้สึกให้ชาาวไบค์เกอร์ได้รับรู้ถึงสมรรถนะ ผ่านทริปการขับขี่ที่ออกแบบเส้นทางให้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกโดยทีมงาน “RE”

รถที่ทดสอบคราวนี้เป็นรุ่น​ Intercepter​ และ​ Continental​ GT Twin​ 650cc. ซึ่งเป็นโมเดลใหม่สาย “คลาสสิก”​ ก่อนหน้าจะเจอเจ้าตัว​ Twin​ เคยแอบคิดว่า​ รถแนวนี้มันมีไรนอกจากลุคที่ดูคลาสสิก​ โคมไฟ​ ไฟเลี้ยว​ แผงคอหน้าปัด​ มีอะไรโดดเด่นคนถึงได้ชอบกันนัก แต่พอมาเห็นเจ้า​ Twin​ ตัวจริงในวันกิจกรรมก็สิ้นสงสัยทันทีครับ

เริ่มตอนเช้า​เข้ามาที่วิกทองหล่อ​ ก็เจอพี่หมูครับ​ผู้บริหารฝ่ายการตลาด​ พี่หมูบอกคุณอาเธอร์​และพาผมไปดูรถคันที่จะต้องขี่ในทริปนี้​ ก็เดินมาเจอกับเจ้า​ Interceptor​ สีเทา​ ซึ่งถูกชะตาเพราะชอบรถสีเทา​ ฮ่าาา​ จริงๆแล้วอยากขี่​ Continental​ แต่ว่าไม่ได้ออกทริปนานแล้ว​ ขอนั่งสบายๆไม่ก้มมากดีกว่า​ ตัวนี้แหละเหมาะแล้ว​ ซึ่งเจ้าสองรุ่นนี้ใช้พื้นฐานโครงสร้างและเครื่องยนต์เดียวกัน​ แต่ถังน้ำมัน​ เบาะ​ และองศาแฮนด์จะต่างกัน​ ตัว​GT จะเป็นแฮนด์จับโช๊ค​ แบบยกขึ้น​ ให้อารมณ์​สปอร์ต​ แต่ก็ไม่ได้หมอบจนเมื่อย​

ก่อนบรีฟเส้นทางในการเดินทางกับทีมมาร์แชล​ ก็ทำความคุ้นเคยกับรถสักหน่อย​ โดยการเดินสำรวจรอบๆตัวรถ​ ดูเรียนรู้ฟังก์ชั่นการใช้งาน​ทั่วไป​ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากเลยสำหรับรถคลาสสิก​ ใช้งานง่าย​ หน้าจอแสดงผลเป็นเข็มไมล์วัดรอบแบบ​อนาล็อก​ มีช่องดิจิทัลเล็กๆ​ แสดงระดับน้ำมัน​ ระยะทางรวม​ และทริป​ A​ B​ โดยมีปุ่มเล็กๆตรงกลางเรือนไมล์ใช้กดเพื่อปรับดูแต่ละโหมดอย่างง่ายดาย​ ประกับด้านซ้ายติดตั้ง​สวิตช์​กระพริบไฟสูงไว้ให้ด้วย​ ด้านขวาก็จะเป็นสวิตช์สตาร์ท-สต็อป​ สตาร์ทด้วยมือล้วนๆละรุ่นนี้​ ไม่มีคันสตาร์ทที่เท้ามาให้แบบรุ่นก่อน​


ชิ้นส่วนของรถดูแน่น​และมีรายละเอียดดี​ รอยเชื่อมถังน้ำมันดูเนี้ยบ​ พักเท้าหน้า-หลัง​ เป็นยาง​ มีตัวอักษร​ Royal​ Enfield​ เป็นร่องลงไป​ ถือว่าแอบมีรายละเอียดที่ใช้ได้เลย​ ปลายท่อคู่ออก​ ซ้าย-ขวา​ ทรงยาวๆ​ ผมนี่ช๊อบชอบ​ ล้อเป็นขนาด​ 18″ ทั้งหน้าและหลัง​ โดยยางหน้ารัดยางเบอร์​ 100/90-18​ และยางหลัง​ 130/70-18​ ซึ่งเป็นไซส์ยางที่เหมาะกับคาแรกเตอร์​ของรถสไตล์นี้​


เริ่มออกเดินทาง​ จากหน้าศูนย์​ Royal​ Enfield​ ทองหล่อ​ ลัดเลาะไปตามถนนเพชรบุรี​ ไปออกถนนวิภาวดี​ ในการจารจรที่ไม่ติดขัดมากนักเนื่องจากเป็นเช้าวันอาทิตย์​ จากการขับขี่ในเมือง​ ท่านั่งสบ๊ายสบายตามสไตล์​รถแบบนี้​ เบาะเดิมๆนุ่มดี​ ถังน้ำมันหนีบเข้าขา​ เรียวไม่เทอะทะ​ วางเท้าได้เต็มเท้า ผมสูง​ 178​ แต่คิดว่า​ คนสูง170​ ก็น่าจะวางได้เต็มสบายๆ​ กระจกข้างใหญ่ดี​ดูง่ายแต่แอบปรับลำบากกว่าจะได้องศาที่พอดี​ ขี่ไปปรับไปอยู่สักพักเลย​ ฮ่าา​า

ความรู้สึกของการขี่เรื่อยๆในเมือง​ คือเป็นมิตรมาก​ คนไม่เคยขี่บิ๊กไบ้ค์มาก่อน​ แต่มาขี่เจ้านี่นะ​ จะรู้สึก​ งุ้ยย​ ทำไมมันขี่ง่าย​ ไม่กระโชกโฮกฮาก​ รอบต่ำๆเดินแบบสมูทเอามาก​ คือเนียน​ การเปิดคันเร่ง​ แล้วปิดทันที​ แล้วกระแทกเปิดใหม่​ ไม่ได้ทำให้รุ้สึกเหนื่อย​ หรือกระชากแบบไตขยับ​ พูดง่ายๆคือมันนุ่มกว่าที่คิดมาก​
แต่ถึงจะขี่ง่าย​ แต่มันก็แอบหนักนะ​ ในเมืองนี่แหละ เห็นชัดเวลาที่รถติดๆ​ ต้องเอาเท้าลงพื้นแล้วค่อยๆเลาะไปตามช่อง​ ตอนน้ำหนักรถมันเทลงนี่มันหนักจริง​ แต่ถ้าขี่ไหลๆนี่สบายไม่มีผล

แต่ถึงมันจะเป็นรถคลาสสิกแลดูเป็นรถที่เหมือนจะใช้รอบต่ำวิ่งสมูทๆ​ แต่จริงๆช่วงต่อเกียร์ค่อนข้างกว้างเลยนะ​ คือมันต้องลากรอบยาวๆหน่อยกว่าจะถึงความเร็วที่สัมพันธ์​กับรอบในเกียร์ต่อไป​ โดยทอร์คย่านใช้งานจะอยุ่ในช่วง​ 4,500-5,000 rpm/min นับว่าต้นไม่จัดจ้าน เหมือนเป็นรถสองบุคลิก​ ขี่เนิบๆก็เนิบ​ แต่ถ้าอยากจะซิ่งมันจะมาตอนที่เราขี่ถึงความเร็วในระดับหนึ่ง​ ซึ่งเซอร์ไพรซ์​ ที่มันแรงกว่าที่คิด​ นึกว่าจะเนิบๆหวานเย็นกว่านี้​ ไม่นะ​ เกียร์กว้างขนาดนี้​ กระแทกก็ดึงหน้าตึงได้เหมือนกัน​ และที่ชอบเลยคือ​ เกียร์​ การต่อเกียร์​ นุ่ม ไม่กระชาก​ ไม่แข็ง​ แบบหูยดีอันนี้ชอบจริงจัง​

ช่วงล่าง​
ดีกว่าที่คิด ออกไปทางโอเคเลยล่ะแม้แต่คนที่เคยขี่รถมาเยอะแล้ว​ แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยสัมผัส​ แล้วมาขี่ครั้งแรกอาจจะรู้สึกดีไปเลย ถือว่าดีเลย​ แน่นดี​ หนึบๆไม่ย้วย​ โช๊คหลังที่มีซับแท้งค์ติดมาถือว่าโอเคเลยนะ​ ไม่ย้วย​ ถึงแม่ช่วงหน้าจะมีอาการส่ายบ้างในความเร็วสูงๆ​ แต่ในย่านความเร็ว​ 100-120km./hr.​ ถือว่าเอาอยู่​ รถแบบนี้มันขี่หล่อ​ ที่สำคัญคือลมมาเต็มมากๆ​ ถึงมันจะขี่ได้แรงกว่านี้ื​ แต่แค่120​ ก็หัวสั่นได้แล้วล่ะ
การเข้าโค้ง​ ทำได้ดีไม่ส่ายหรือสะบัด​ แต่ดูลมยางดีๆด้วย​ ตามสเป็คคือ​ หน้า​32​ psi.​ และ​36 psi. สำหรับล้อหลัง​ ระบบเบรค​ abs. แบบจานเดี๋ยว​ ปั้ม​สี่ลูกสูบจาก​ BYBRE จับคู่กับจานดิสของเบรมโบ้เอง

ใครที่ตั้งเป้าว่าถ้าฉันได้รถมาฉันจะต้องเปลี่ยนเบรคก่อนเลย​ กลัวเอาไม่อยู่นู่นนี่นั่น​ เดี๋ยวก่อน! มันเอาอยู่​ สบายๆเลย​ เบรคหนึบดี​ ยกเว้นว่าอยากสุดอยากสวยอ่ะนะ​ อันนี้ก็ตามแต่งบในกระเป๋าท่านเลย​ 😄
แต่สิ่งที่จะทำให้ล้าจากการขี่นานๆ​ นอกจากลมปะทะ​ สำหรับผมแล้วมันคือ​ คันเร่งนี่แหละ​ มันหนักมันหน่วงมันหนืดไป​ ใช้แรงเยอะนิ้วล้าเอาง่ายๆ​ แต่ปัญหานี้ก็แก้ง่ายๆหาประกับแต่งมาเปลี่ยนซะ รับรองบิดฟินกว่าเดิมเยอะ

“สรุป”​ ถ้าจะเอารถคลาสสิกมาถามหาความเร็วปลาย​ บอกเลยคันนี้ได้​ 180+ นิดหน่อย​ 1 แต่ต้องตั้งโจทย์​ให้ถูกก่อนนะ​ จะได้ไม่ไปวิจารณ์​รถเปรียบเทียบรถแบบไม่ตรงการใช้งาน​ สำหรับเจ้า​ Royal​ Enfield​ Twin​ 650​ นี้​
สำหรับผมให้คำนิยามมัน 3​ คำ​ 3S
Save, Style, Society
– ประหยัดงบ​ กับรถ​ 650cc.​2สูบ​ ในราคา​สองแสนต้น​ ถือว่าคุ้มค่ากับราคา
– บ่งบอกความเป็นตัวเอง​ชัดเจน
– สังคม​ กลุ่มเพื่อนๆพี่ๆที่ขี่​ กันเองมากๆ​ ชิว​ ที่เขาว่าคาแรกเตอร์​รถกับคาแรกเตอร์​เจ้าของจะคล้ายๆกัน​ เป็นแบบนี้แหละ​นี่แหละ​ Royal​ Enfield​ Twin​ 650​

ขอขอบคุณ Royal Enfield Thailand ที่เอื้อเฟื้อและเปิดโอกาสสุดพิเศษในการออกทริปและทดสอบในครั้งนี้ ขอบคุณเหล่า RE Bikers ทุกท่านที่ทำให้ทริปสนุกสนานและปลอดภัย

สำหรับครั้งต่อไปเราจะไปเที่ยวที่ไหน จะรีวิวรถอะไร ฝากทุกท่านติดตามกันได้ที่แฟนเพจ Bikers Thailand ขอบคุณที่ติดตาม สวัสดีครับผม

Bikersthailand
Bikersthailandhttp://www.bikersthailand.com
ชายหนุ่มธรรมดา ที่มีความชอบในยานยนต์สองล้ออย่างยิ่งยวด...

Related Articles

Stay Connected

113,888แฟนคลับชอบ
5,107ผู้ติดตามติดตาม
- Advertisement -spot_img

Latest Articles